เอฟเฟกต์ชายแดนไทย – กัมพูชา กระทบหลายภาคส่วนเสียหายหนัก
ผลกระทบเหตุการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ต่อภาคตลาดอสังหาริมทรัพย์และอสังหาปล่อยเช่า
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เหตุการณ์ปะทะและความตึงเครียดที่ชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ได้ส่งผลกระทบวงกว้างไปยังหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย หนึ่งในภาคที่ได้รับผลกระทบรุนแรงอย่างชัดเจน คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่าและหอพัก
1. ผลกระทบทางตรงต่ออสังหาริมทรัพย์ชายแดน
พื้นที่บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งในอดีตเคยเป็นทำเลทองสำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่า รวมถึงหอพักสำหรับแรงงานและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ กลับกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยและไม่แน่นอนจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนหรือถอนตัวออกจากพื้นที่ ส่งผลให้มูลค่าอสังหาฯ ลดลง และอัตราการปล่อยเช่าหดตัว
หอพักที่เคยเป็นที่พักสำหรับแรงงานหรือผู้ที่ต้องทำงานใกล้ชายแดน พบว่าจำนวนผู้เช่าลดลงอย่างมาก ทำให้เจ้าของอสังหาฯ ต้องประสบปัญหาการขาดรายได้จากค่าเช่า และยังต้องแบกรับภาระค่าบำรุงรักษาและภาษีต่าง ๆ ต่อไป
2. ผลกระทบทางอ้อมต่อตลาดอสังหาฯ ในเมืองใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียง
แม้เหตุการณ์ความตึงเครียดจะเกิดขึ้นบริเวณชายแดน แต่ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนและตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่นั้นเท่านั้น นักลงทุนในเมืองใหญ่และพื้นที่โดยรอบยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในอนาคต
ผู้เช่าหรือผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยเช่าในบริเวณใกล้เคียงมีความระมัดระวังมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่าชะลอตัวลงไปด้วย
3. ภาวะความไม่แน่นอนกระทบการบริหารหอพักและอสังหาฯ ปล่อยเช่า
เจ้าของหอพักและผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่าต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในสถานการณ์นี้ เพราะนอกจากต้องรับมือกับจำนวนผู้เช่าที่ลดลง ยังต้องปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการให้เหมาะสม เช่น การลดค่าเช่าเพื่อรักษาผู้เช่า การพัฒนาระบบจัดการหอพักออนไลน์ เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร
โปรแกรมบริหารหอพักออนไลน์ เช่น ระบบจัดการเช่าและชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัล จึงเป็นทางเลือกที่เจ้าของธุรกิจหอพักเริ่มนำมาใช้กันมากขึ้น เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างยืดหยุ่น
4. แนวทางการฟื้นฟูและรับมือในระยะยาว
สำหรับผู้ที่ลงทุนหรือบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ใกล้เคียง ควรมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
การกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังพื้นที่ที่มีความมั่นคงมากกว่า รวมถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและหอพักที่ตอบโจทย์ตลาดเช่าที่ยืดหยุ่น เช่น หอพักรายวัน รายเดือน หรือตลาดที่พักสำหรับกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาว
นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการอสังหาฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนจะช่วยให้ธุรกิจมีความพร้อมในการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์ความขัดแย้ง
ผลกระทบเหตุการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ได้สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และตลาดปล่อยเช่าโดยเฉพาะหอพักในพื้นที่ดังกล่าวเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายที่สูงขึ้นในช่วงเวลานี้ ทั้งในแง่ของมูลค่าอสังหาฯ และรายได้จากการปล่อยเช่า
อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยี รวมถึงการวางแผนลงทุนในพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีศักยภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ และยังสามารถเติบโตได้ในอนาคต
เจ้าของธุรกิจอสังหาฯ ปล่อยเช่าและหอพักจึงควรเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ปรับตัวอย่างรวดเร็ว และมองหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของธุรกิจในยุคที่ไม่แน่นอนนี้